Last updated: 10 มี.ค. 2568 | 15 จำนวนผู้เข้าชม |
“เทคนิคทำให้หญ้าโอ๊ตหอมน่ากิน”
โดย รศ.น.สพ.ดร.สมโภชน์ วีระกุล (อาจารย์แก้ว)
หญ้าโอ๊ตระยะที่เหมาะสมจะเป็นการตัดครั้งแรกในช่วงที่กำลังออกดอกและเริ่มจะกลายเป็นเมล็ดข้าวน้ำนม การเก็บเกี่ยวในฤดูกาลและวิธีที่เหมาะสมจะได้หญ้าคุณภาพสูง ซึ่งจะมีความอ่อนนุ่มและเขียวกว่าหญ้าโอ๊ตที่เราเห็นโดยทั่วไป เราคนไทยอาจจะไม่ชินตา ซึ่งเมื่อมาถึงบ้านเราส่วนใหญ่จะเหลืองง่ายคล้ายฟางข้าวทั่วไปและมีความหยาบกว่าเล็กน้อย หรือหญ้าที่ตากแดดให้เป็นเฮย์หรือหญ้าแห้งก็จะเหลืองไว แต่คุณภาพไม่ต่างกัน เว้นแต่จะกลุ่มตัดช้าจนเมล็ดแก่หรือเก็บรวงข้าว แบบนั้นจะไม่ค่อยมีคุณค่าแล้วและมีความเป็นด่างในทางเดินอาหารเมื่อให้กิน หญ้าระยะที่ดีและเก็บดีจึงมีสีเขียว แต่ก็มีข้อเสียที่หญ้าเก็บเกี่ยวระยะนี้จะเปราะบาง ก้านสั้นลงได้เพราะไม่หยาบ (แต่ก็ขึ้นกับฟาร์มและการเก็บเกี่ยวซึ่งไม่มีผลกับคุณภาพหญ้า) เพราะอ่อนจึงอาจแตกง่ายกว่าเมื่อแห้ง และในระยะแรกจะมีความชื้นแต่ก็ประมาณ 8.5% เท่านั้น อย่างไรก็ตามความชื้นของหญ้าแห้งที่ตากแดดนานหรือเก็บในโรงเรือนนานจะแทบไม่เหลือความชื้นเลย ซึ่งก็ไม่ค่อยดี เพราะแห้งเกินไป ขณะที่หญ้ารุ่นถนอมดีๆ เวลาเก็บในถุงยังอาจพบไอระเหยออกมาได้ ซึ่งประมาณ 8.5% ยังอยู่ในเกณฑ์ของความชื้นที่อนุญาตและดีต่อคุณสมบัติของหญ้า และสิ่งหนึ่งที่อาจพบได้ในกระต่ายบางตัว คือ บางตัวไม่ชอบกลิ่นสด ซึ่งอาจไม่หอมเท่ากลิ่นตากแห้ง ซึ่งทำให้หญ้าโอ๊ตต่างจากหญ้าชนิดอื่นๆ
หญ้าโอ๊ตมีดอกหญ้าในระยะกำลังสร้างข้าวน้ำนม ซึ่งจะไม่ค่อยหอมเวลาเป็นดอกเขียว จะมีกลิ่นหอมเมื่อได้รับความร้อน หรือตากแห้ง ในขณะที่หญ้าโอ๊ตที่สดกว่าอาจขาดเสน่ห์ทางกลิ่นนี้ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่หญ้าเขียวสดนี้กลับเก็บคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า แม้ว่ากระต่ายส่วนใหญ่จะชอบหญ้าที่เขียวสดมากกว่า แต่หากเมื่อพบว่ากระต่ายของเราเอง ไม่ชอบไม่คุ้นเคยกลิ่นของหญ้าเขียวสด บางทีคิดว่าเหม็น ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ให้ลองเอาหญ้าเขียวสดในสนามมาขยี้และลองดมด้วยตนเอง จะรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเขียว ซึ่งกลิ่นจะไม่หอมเท่าหญ้าแห้ง หรือต้นข้าวที่กำลังออกรวง แต่ในสัตว์กินพืช กลิ่นที่เรารู้สึกเหม็นเขียวนี้เป็นกลิ่นธรรมชาติ แต่ก็เป็นไปได้ที่กระต่ายเลี้ยงบางตัวจะไม่ชอบเพราะกินแต่แห้งมาตลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาและเป็นธรรมชาติของสัตว์เหล่านี้
การทำให้หญ้าหอมขึ้น!
ความร้อนช่วยทำให้อาหาร พืช ดอกไม้ ใบชากาแฟ มีกลิ่นหอมขึ้น และเรานำความร้อนมาใช้กับหญ้าได้ หากต้องการกลิ่นหอมขึ้นก็จำเป็นต้องกระตุ้นให้ก้านและดอกหญ้าโดยการอบหญ้า หรือให้ความร้อน เหมือนไปกระตุ้นให้หญ้าแก่ขึ้น ดอกหญ้าและเมล็ดจะเริ่มให้กลิ่น เหมือนดอกจะเบ่งบานออกมา ถ้าทำด้วยวิธีพิถีพิถันก็เอาไปอบจริงจัง กรรมวิธีเดียวกับการอบใบชา โดยตั้งอุณหภูมิอบ แนะนำที่ ประมาณ 80 องศาเซนเซียส ระยะเวลา 1 ชั่วโมงหรือจะสั้นยาวกว่านี้ขึ้นกับความหอมที่ต้องการ การอบจะช่วยคงความเขียว เพิ่มความชุ่มชื้น และได้กลิ่นหอม วิธีนี้สิ้นเปลืองเวลาและไม่สะดวก อีกวิธีคือการตากแห้งหรืออบแดดก็ได้โดยนำเอาหญ้าวางห่อบนกระดาษป้องกันแสงกระทบโดยตรง แต่ระวังว่ากลิ่นของกระดาษหรือกลิ่นสี หมึก และสารเคมีบนกระดาษ จะปนเปื้อนทำให้ขาดเสน่ห์และไม่น่ากิน ให้พิจารณาเลือกกระบุง หรือภาชนะปิด จะช่วยให้หญ้ายังคงเขียวแต่กลิ่นจะหอมขึ้น แต่ใช้เวลาในการอบนานกว่าวิธีแรก แต่ถ้าจะเลือกตากแดดโดยตรงให้ระวังการสูญเสียวิตามินหลายชนิดจากการถูกความร้อน และตากแดดมากไปกลิ่นก็หายไปเช่นกัน จึงควรตากเพียงเล็กน้อยให้เกิดความร้อนและดมพิสูจน์ด้วยตนเอง หรือให้กระต่ายตัวเดิมทดสอบความน่ากินตามใจชอบ แต่ละตัวก็จะต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ตัวไหนกินหญ้าเขียวได้จะดีกว่า หรือกินได้หลากหลายรูปแบบและชนิดหญ้าจะยิ่งดี เพราะลักษณะและคุณสมบัติหญ้าจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูเก็บเกี่ยว และวิธีเก็บเกี่ยว จึงพบก้านสั้นบ้างยาวบ้าง อ่อนบ้างแข็งบ้าง เขียวบ้างเหลืองบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้
แม้ว่าจะมีหญ้าหลายชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการดีกว่าหญ้าโอ๊ต เช่น หญ้าทิโมธีเกรดซูเปอร์พรีเมียมและพรีเมี่ยม ที่พบว่ามีระดับโปรตีนสูงกว่าหญ้าโอ๊ต 2-3 เท่า สัดส่วนของเยื่อใยอาหารให้ประโยชน์ดีกว่า และได้รับความนิยมมากที่สุดในต่างประเทศ แต่หญ้าโอ๊ตขึ้นชื่อเรื่องความน่ากินเพราะหอมกว่า และเพราะมีความหยาบของก้านตามระยะเวลาเก็บเกี่ยวที่นานกว่าหญ้าทิโมธี จึงมักนิยมใช้กับกระต่ายที่มีปัญหาฟันสึกไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอ เพื่อช่วยในการขัดสีฟัน แต่ในรายที่มีการกินหญ้าที่ดีและไม่เคยเกิดปัญหา จะใช้หญ้าชนิดใดก็ได้ทั้งทิโมธี อัลฟัลฟ่า เมโดว์ และโอ๊ต และในรายที่กินหญ้าเก่งและกินโอ๊ตอย่างเดียว บางรายสามารถพบการสึกของฟันมากเกินไปได้เช่นกัน ก็ต้องระมัดระวังและรู้จักการใช้หญ้าด้วยความเข้าใจ ดังนั้นการกินหญ้าควรให้มีความหลากหลาย เสริมด้วยโภชนาการจากแหล่งอื่นๆ ด้วยสัดส่วนที่ถูกต้อง ลดความเสี่ยงการขาดโภชนาการได้ และหมั่นพาไปตรวจสุขภาพ
10 มี.ค. 2568
10 มี.ค. 2568
10 มี.ค. 2568